วันเสาร์ที่ 23 มกราคม พ.ศ. 2553

ปุลากง


“ที่บ้านไม่มีใคร ผมมารับคุณพี่” เสียงพูดฟังดูไม่รื่นหูเพราะไม่มีคำลงท้ายเท่าที่ควร ผู้อาวุโสกว่ามากหันมาพิจารณาคนพูดอย่างสนใจ เด็กคนนั้นอายุไม่เกิน 14 ปี รูปร่างสูงแต่ดูผอมซูบซีดไม่แจ่มใส หน้าเข้มตั้งแต่คิ้ว ตา จมูกเป็นสัน ปากบางเม้มสนิท หน้าตาดี ดูหน้าก็รู้ว่าเป็นคนเจ้าอารมณ์
คุณอัมพิกาเป็นคนพิการ เนื่องจากเป็นโปลิโอตั้งแต่สองขวบ ถึงเธอจะอายุ 18 แต่ร่างกายเล็กแกร็น เธอเคยบอกเขาว่า “มันมีชาร์ป มีแฟลตยุ่งเหลือเกิน แต่ไม่หัดปิอาโนก็ไม่รู้ว่าจะทำอะไร พี่เป็นคนพิการ จึงต้องเรียนดนตรีอย่างน้อยเกิดยากจน ก็พอจะรับสอนเด็กๆ ได้” เขานึกหัวเราะ คุณพี่ไม่มีวันยากจนหรอก ถึงจะพิการแต่ก็เป็นลูกเมียหลวง คุณพ่อมีลูกกับคนที่บ้านใหญ่ถึงสี่คน คุณพี่เป็นคนโต แล้วจึงคุณอดิสร, อนันต์ คู่อริ Number1 และคนสุดท้องชื่ออรนุช ลูกสาวที่เกิดพร้อมกับเขา คุณแม่เล่าว่า ท่านคลอดเขาที่เรือนเล็ก กับนางผดุงครรภ์ แต่คุณนุชคลอดกับแพทย์ที่โรงพยาบาล
คุณปุ้มเป็นคนเดียวที่เข้มเรียกว่าพี่ คุณพี่เรียนปิอาโนกับกับคุณพิรุณ บ้านคุณพิรุณเป็นบ้านเล็กที่อยู่ติดกับบ้านเขาแค่รั้ว บ้านหลังนี้เป็นตึกเล็กๆ ชั้นเดียวแบบโบราณ คุณแม่เล่าว่า เป็นบ้านของแม่หม้าย ชื่อคุณพิรุณ สามีเป็นทหารเรือตายในสงคราม คุณพิรุณรับสอนดนตรีเพื่อเลี้ยงลูก คุณพิรุณมีลูกสาวชื่อ หนูตุ่น
เขาเองมีเรื่องคิดมากมาย เรื่องค่าเงินค่าเทอมขอคุณพ่อแต่ละครั้งยากเย็น ติโน่น ตินี่ บางครั้งท่านก็ผลัดว่าคุณฉะอ้อนเก็บกุญแจเซฟบ้าง รอแล้วรออีก ก็ไม่ได้เงิน เขาเคยถามคุณแม่ว่าทำไมต้องรักคุณพ่อ แต่คำตอบที่ได้ยินก็ทำให้เขาอึ้งไป “ ไม่เป็นใครอยากเป็นน้อยหรอกจ๊ะ เมื่อเขาพาแม่มากรุงเทพ เข้มอยู่ท้องแม่จวนครบกำหนดคลอด คุณพ่อรบเร้าให้เอกออกแต่แม่อยากได้ลูก จะยังไรก็รักเขาที่เป็นสามี แต่เกลียดเขาที่ไม่ต้องการลูก แม่เป็นเมียน้อยสมัยเก่า ต้องสงบเสงี่ยมเจียมตัว ถึงคุณตาของเข้มจะเป็นแค่ครูใหญ่ แต่คุณตาทวดเคยเป็นถึงเจ้าเมือง จะทำอะไรก็ให้นึกถึงท่านบ้าง”
เขานั่งคิดไปเพลิน จนคุณอัมพิกามาเรียก วันนี้ที่บ้านใหญ่ไปทะเลกัน ผมจึงมารับคุณพี่ ตอนนี้เรียนชั้นไหนแล้ว คุณอัมพิกาถาม “ตอนนี้เรียนอยู่ ม.ศ.3 ปีหน้าก็ต้องสอบเข้าโรงเรียนเตรียม บางทีอาจจะต้องขอยืมเงินคุณพี่บ้างแล้วจะหามาใช้ให้” ในเมื่อบ้านใหญ่ไม่มีคนอยู่ คุณพี่จึงขอไปทานข้าวที่บ้านของเขา
เรือนพักของเขาและมารดาอยู่สุดอาณาเขตของบ้าน นางแพงศรีมารดาของศกร มีท่าทีรอบุตรชาย กินอาการกลางวัน บ้านของเขามีสองห้องจึงต้องใช้ระเบียงเป็นที่รับประทานอาหาร ก่อนที่จะรับประทาน ก็มีเสียงเรียกมาแต่ไกล ไม่ใช่ใคร “กวง” น่ะเอง กวงเป็นลูกชายเถ้าแก่ซ้ง ร้านข้าวสารปากตรอง กวงบอกว่ามีธุระกับเข้ม เข้มจึงบอกให้กวงไปก่อนแล้วจะตามไป
เมื่อเข้าตามไปหากวงที่บ้านของกวง กวงจึงบอกว่าคุณนายถามหาให้ชวนเข้ามาร่วมวงอีก เข้มจึงบอกว่าเขาจะทำเมื่อจำเป็นเท่านั้น ผีผนันมันไม่เข้าสิงเขา และตอนนี้เขาขอยืมเงินคุณปุ้มได้แล้ว ก่อนที่เขาจะไป กวงยังบอกให้เขาลองยาใหม่ กินแล้วตาสว่างดี สมองวิ่งอย่างกับรถจักร ยานี้กวงได้ลองไปแล้ว แต่เข้มบอกว่าให้กวงเลิก ศกรเพิ่งเข้าใจและสงสารกวงวันนี้เอง น้องๆ ของกวงเรียนสูงๆ ทั้งนั้น มีแต่กวงคนเดียวที่ช่วยพ่อแม่ทำงาน ซิ้มหรือแม่กวง ดุและวางระเบียบในบ้านจนแทบกระดิกตัวไม่ได้ เตี่ยของกวงทำงานสร้างตัวเองด้วยการหายหม้อทองเหลืองขายกระเพาะปลาจนได้แต่งานกับแม่ของกวง แล้วจึงเปลี่ยนมาขายของชำ แต่เมื่อลูกชายคนเล็กคลอด เตี่ยของกวงก็ถูกรถชนตาย บทบาทของแม่ซึ่งเป็นใหญ่มานานจึงทวีความรุนแรงขึ้น ยายซิ้มเป็นคนหัวไวและฉลาด แต่ก็เป็นคนโง่เขลาเรื่องจิตใจของลูก ไม่ยอมรับรู้ หรือฟังคำอุทธรณ์ใดๆ แกต้องการให้กวงคือตัวแทนของสามีเท่านั้น เมื่อแม่ของกวงดำริที่จะเปิดร้านข้าวต้มปลารอบดึก จึงทำให้กวงกินยาที่ว่าเพื่อเพิ่มพลังทุกวัน
ศกรได้รับคำชวนให้มาเสี่ยงโชค และพบว่าเขาโชคดีทางการพนันตลอด หากความยับยั้งชั่งในมีมากกว่าเขาจึงไม่มั่วสุมถ้าไม่จำเป็น ศกรเล่นเพื่อช่วยให้ตัวเองรอดพ้นจากความคับค้นทางการเงิน ซึ่งกวงรู้ดี
ถ้าใครถามเขาตอนนี้ว่าเกลียดอะไรที่สุด เขาคงจะตอบว่าเกลียดพ่อ เขาไม่รู้ว่าความกดดันอันนี้มีผลทางอ้อมต่ออนาคตภายหน้า โดยเฉพาะเมื่อรากฐานแห่งจิตใจของเขามั่งคงเข้มแข็งด้วยการอบรมเลี้ยงดูอย่างถูกต้องจากมารดา ศกรจึงโชคดีที่ผลของความชอกช้ำเกิดประโยชน์กับตัวเขามากว่าเกิดโทษ
“ที่บ้านไม่มีใคร ผมมารับคุณพี่” ประโยคนั้นคุ้นหู นางพิรุณบอกให้ไปที่หลังบ้าน คุณพี่อยู่กับหนูตุ่น หนูตุ่นมีเพื่อนเล่นอีกคนชื่อ วีรุทย์ วีรุทย์เป็นลูกนายตำรวจข้างบ้านครูพิรุณ อายุเท่ากับเข้ม เข้มตั้งใจเอาเงินที่ยืมไปมาคืน และเขาก็บอกความจริงกับคุณพี่ด้วยว่าเขาเอาเงินมาจากไหน เขาตัดสินใจว่าจะสอบเข้าโรงเรียนตำรวจ
เข้มสอบเข้าโรงเรียนตำรวจได้ และต้องไปอยู่โรงเรียนประจำ เมื่อเขาได้กลับมาบ้าน เขาก็จะแวะไปหากวง กวงติดยางอมแงม แม่ของกวงไม่เข้าใจคิดว่าไม่สบาย ไม่มีเรี่ยวแรง เสียเงินค่าหมอแพงก็แพง แต่ไม่หาย เขาได้พูดคุยกับกวงและรู้ว่าที่เป็นอย่างนี้เพราะติดยา เขาจึงตัดสินใจจะพากวงไปรักษาให้หาย
เขาไปเจอหนูตุ่นที่หน้ามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ หนูตุ่นนั่งอยู่ในร้านกับวีรุทย์ หนูตุ่นแก้มใสออกนวลผิวบางจนเป็นสีชมพูเรื่อ ปากบางเฉียบเป็นรอยหยักเข้ารูป ตัวนิดเดียวแต่ดูเข้มแข็งอย่างประหลาด เมื่อเขากลับเข้าบ้าน คุณอนันต์ได้มาตามเข้ม บอกว่าคุณพ่อท่านอยากพบ คุณพ่อเรียกมาเพื่ออยากรู้ว่าเข้มเรียนจบแล้วจะไปอยู่ที่ไหน เขาพอมีเส้นมีสายจะฟากให้อยู่ที่กรุงเทพได้ ไม่ต้องออกต่างจังหวัด แต่เข้มไม่ยอมขอความช่วยเหลือ เขาพอใจจะรับคำสั่งของทางการ
คุณพิรุณแม่ของหนูตุ่นได้เสียไป เธอจึงตัดสินใจที่จะไปทำงานที่ต่างจังหวัด โดยทิ้งบ้านไว้ให้เช่า
หนูตุ่นตัดสินใจไปทำงานที่อำเภอยะหริ่ง ซึ่งอยู่จังหวัดเดียวกับที่วีรุทย์ทำงาน หนูตุ่นเป็นพัฒนากร จึงต้องไปทำงานพัฒนาหมู่บ้านชนบท หล่อนได้รับมอบหมายให้ไปทำงานที่ตำบลปุลากง ดวงตาของหล่อนมีแววทุกข์โศก ไม่เสื่อมคลายจากความคิดถึงความตายของมารดา
หนูตุ่นไปเป็นพัฒนากรที่ปุลากง ได้พบกับนายเข้ม นายเข้มได้ย้ายไปประจำที่ สถานีตำรวจภูธรอำเภอยะหริ่ง เขาเป็นนายตำรวจที่แม่นปืนมาก ปราบพวกโจรจนโจรขยาด ขนาดเอาดวงเขาไปให้หมอดูทำนาย แต่ หมอดูบอกว่าเขาดวงแข็งตายยาก และเขาเอากวงไปด้วย หนูตุ่นได้ทำงานเป็นครูสอนเด็ก ที่โรงเรียนในหมู่บ้านด้วย เธอรู้จักมูเนาะ ซึ่งเป็นคนรักของวีรุทย์ วีรุทย์ได้รับมอบหมายให้ย้ายไปอยู่ที่ Sensitive area และถูกฆ่าตาย เมื่อมูเนาะทราบข่าวจากหนังสือพิมพ์ ก็ตกใจมาก และได้จมน้ำตายในที่สุด ที่ปุลากงนี่เอง ศุภราหรือหนูตุ่น ก็มีความผูกพันกับศกรมากขึ้น ศกรได้รับมอบหมายให้ไปทำงานที่ชายแดนร่วมกับตำรวจต่างประเทศ แต่เป็นคำสั่งลับ เขาจึงตั้งใจจะมาลาเธอที่หมู่บ้าน แต่ไม่พบเพราะเธอไปเที่ยวที่ภูเก็ต เมื่อเขาไปทำงานที่นั่น เขาได้ปะทะกับกลุ่มโจรได้รับบาดเจ็บสาหัส จึงต้องรีบพากลับไปรักษาที่กรุงเทพฯ เป็นการด่วน ในขณะเดียวกัน ศุภราก็ปฏิบัติหน้าที่สำเร็จและกลับไปที่กรุงเทพฯ เธอกลับไปอยู่ที่บ้านของเธอ
เมื่อเธอกลับเข้ากรุงเทพ เธอได้ไปเยี่ยมผู้บาดเจ็บกับเพื่อนของเธอ และเธอก็ได้เห็นศกรอยู่ในห้องพัก มีอาการป่วยหนัก ในขณะที่ศกรอยู่โรงพยาบาล หนูตุ่นได้ไปเยี่ยมเขาหลายครั้ง แต่เธอก็ไม่ได้พบเขา เพราะเขา
พักผ่อนทุกครั้งที่เธอไป พยาบาลคนสวยที่ชื่อ วิมล ก็อยู่ดูแลเขาตลอดเวลา วิมลบอกให้เธอรอพบก่อน แต่เธอจะต้องเตรียมตัวเดินทางไกลในวันรุ่งขึ้น เธอจึงต้องรีบกลับ เมื่อเขากลับไปพักที่บ้าน วิมลก็ตามไปดูแลเขาด้วยเนื่องจากบ้านของวิมลอยู่ซอยเดียวกับศกร
เมื่อศุภรากลับมาจากไปราชการ คุณอัมพิกาได้เข้ามาหาเธอที่ในบ้าน แล้วเล่าเรื่องของเข้มกับวิมลให้ฟัง คุณอัมพิกาคิดว่าเข้มคงจะแต่งงานกับวิมล ตกเย็นเข้มแวะมาที่บ้านของหนูตุ่น และชวนเธอไปกินข้าวเย็นที่บ้าน เมื่อไปถึงบ้าน ก็ได้พบกับวิมลด้วย วิมลมาหัดเรียนอาหารกับแม่ของเข้ม หล่อนเห็นแววตาของเขาที่มองมาทางหล่อนเพียงแวบเดียว แววตาแบบนี้หล่อนเคยเห็นมาก่อน เขาคุยกับแม่ของเขาเรื่องทำอาหารและก็คอยพูดกระทบกับหนูตุ่น
วันรุ่งขึ้นคุณอัมพิกามาคุยกับหนูตุ่นแล้วบอกว่าเข้มไปบอกคุณพ่อเรื่องแต่งงาน เขาเอาเงินเก็บของเขาไปซื้อแหวนหมั้น ได้วงเล็กนิดเดียว คุณพ่อก็ว่า ว่าผู้หญิงจะว่าได้ เขาจึงตอบว่าเป็นพิธีหมั้นแล้วก็แต่ง วิมลเขาจะไปเรียนต่อที่นอก เข้มก็คงจะขอทุนตามกันไป
แม่เขาถามเรื่องแต่งงานบอกว่าวิมลได้ทุนไปเรียนเมืองนอกสองปี แต่เข้มต้องไปธุระราชการต่างประเทศแค่เดือนเดียว เขาขอฝากแหวนหมั้นไว้ที่แม่ก่อน เมื่อกลับมาจากต่างประเทศแล้วเขาจะมาเอาคืน เขาถามแม่ว่าชอบวิมลมากหรือ แม่ของเขาบอกว่าถ้าลูกชอบใครแม่ก็ชอบคนนั้น แต่เค้าบอกว่าเขาชอบหนูตุ่นมากกว่า เขาชอบผู้หญิงที่ฉลาดไม่มีอารมณ์ของผู้หญิงมากเกินไป ซึ่งจะเป็นผลดีกับลูกของเขาด้วย เมื่อเขาบอกเช่นนั้น แม่ของเขาจึงให้เขาไปหาหนูตุ่น แต่คุณอัมพิกาบอกว่าหนูตุ่นไปอบรมพัฒนากรที่ปัตตานีสามเดือน แม่ของเขาจึงจัดกระเป๋าใบเล็กให้เขา โดยบอกให้เขาลางานสักเจ็ดวัน เหนื่อยกายมามากแล้ว อย่าต้องทรมานใจจนตายเพราะความไม่เข้าใจกัน
เมื่อเขาไปถึงที่อำเภอยะหริ่ง เขาได้ไปถามหาศุภราแต่ไม่พบ ได้แต่บอกว่าเข้าไปที่ปุลากง ถ้าจะพบก็ต้องเข้าไปที่นั่น เพื่อนของเขาได้ให้เขายืมรถจี๊ป และเขาก็รีบขับรถไปที่ปุลากง เมื่อเจอหล่อนเขาก็ชวนหล่อนให้เข้าจังหวัด ระหว่างทางกลับเข้าจังหวัด รถที่ขับมาเสียกลางทาง เขาจึงต้องซ่อมรถ แต่ไฟฉายตกลงไปข้างทางจึงมองไม่เห็น และหล่อนก็มองเห็นกลุ่มคน ซึ่งอาจจะเป็นชาวบ้านมาล่าสัตว์ หรือพวกนั้น หล่อนเข้าใจคำนี้ดี เขาให้หล่อนเอาผ้าเช็ดหน้ารวบผมขึ้นให้หมด แล้วไปหลบที่ข้างป่า แล้วพวกนั้นก็เข้ามา พวกมันมีกลุ่มใหญ่ เข้ามากราดยิงที่รถและบริเวณรอบๆ หล่อนกลัวจับใจ ภาวนาขออย่าให้มันใช้ทางนี้เป็นทางผ่าน เมื่อพวกมันไปแล้ว เขาจึงบอกกับหล่อนว่า รถยังใช้การไม่ได้ ต้องรอให้ฟ้าสางค่อยไปตามคนที่ปุลากงมาช่วย เขาจึงถามหล่อนว่าหล่อนพร้อมที่จะเผชิญชีวิตแบบนี้กับเขาไหม เขาโอบกอดหล่อนเข้ามาใกล้ ศุภราไม่ตอบว่ากระไร หล่อนรู้แล้วว่าพลังความรักนั้นรุนแรงจริงๆ หล่อนไม่กลัวที่จะต้องแต่งงานกับผู้ชายที่มีชีวิตแขวนอยู่กับความตาย หล่อนเต็มใจที่จะรับทั้งความสุขและความทุกข์ ร่วมกับสามีสุดที่รักในอนาคตอันใกล้นี้

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น